“ชมกรุเครื่องทองกรุงเก่า ฟังเรื่องเล่าแต่หนหลัง จาก”อยุธยา”สู่”รัตนโกสินทร์”"(วัดมหาธาตุ-วัดราชบูรณะ-ห้องเครื่องทองอยุธยาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา-วัดสุวรรณดาราราม-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม-วัดขุนแสน)
การรับรู้เรื่องราวมากมายถึงความรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์ การสงคราม ศิลปกรรมชั้นเลิศหลากแขนงที่สืบทอดและเล่าขานกันอย่างไม่รู้จบของอดีตราชธานี”กรุงศรีอยุธยา” ในเดือนกุมภาพันธ์ และ มีนาคม 2566 นี้จึงอยากชวนทุกท่านร่วมเดินทางเพื่อเยี่ยมชม พินิจพิเคราะห์และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงและประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่องของ”กรุงศรีอยุธยา”นับแต่ครั้งดำรงความเป็นราชธานีจวบจนการเข้ามาศึกษาเรื่องราวและพื้นที่ในยุครัตนโกสินทร์จนถึงกับได้แรงบันดาลใจไปเขียนเป็นนวนิยาย แต่งเพลง สร้างละครโทรทัศน์และภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์จนได้รับความนิยมจากสาธารณชน โดยจะนำพาทุกท่านไปเยี่ยมยลสถานที่น่าสนใจพร้อมฟังเกร็ดตำนานน่าสนุกของแดนกรุงเก่ากับกิจกรรม…
“ชมกรุเครื่องทองกรุงเก่า ฟังเรื่องเล่าแต่หนหลัง จาก”อยุธยา”สู่”รัตนโกสินทร์”"
(วัดมหาธาตุ-วัดราชบูรณะ-ห้องเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา-วัดสุวรรณดาราราม-พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม-วัดขุนแสน)
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566
![]() |
7-Eleven สาขา สยามอินเตอร์ (อนุสาวรีย์ชัยฯ) |
07.00 น. รับประทานอาหารเช้าหลากรสเติมพลังตามอัธยาศัย ณ ร้านข้าวแกงบ้านสวน วังน้อย ถนนพหลโยธิน, อิสระแวะร้านกาแฟ Cafe Amazon (ตั้งอยู่ละแวกข้างเคียง-สาขาตลาดเซโต้)
07.30 น. ออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฟังเรื่องราวเกร็ดสาระน่ารู้ทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญพร้อมชมทัศนียภาพสองฟากฝั่งถนนบนเส้นทางการเดินทาง
08.30 น. ถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยลวัดมหาธาตุ พระอารามหลวงสำคัญของกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) แต่ไม่แล้วเสร็จ ทรงเสด็จสวรรคตเสียก่อน และได้สร้างเพิ่มเติมจนเสร็จ ในสมัยสมเด็จพระราเมศวร เมื่อครั้งพระองค์ได้กลับมาครองราชสมบัติอีกครั้ง โดยได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระปรางค์ประธาน และอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค์ประธานของวัดมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 1927 ซึ่งเป็นจุดที่พระองค์เคยทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุเปล่งแสงสว่างและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ในสมัยอยุธยา วัดมหาธาตุ เป็นศูนย์กลางของพระนคร และเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีต่าง ๆ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสี ส่วนพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีนั้น ประทับอยู่ที่วัดป่าแก้ว (วัดใหญ่ชัยมงคล) เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 วัดมหาธาตุได้ถูกเพลิงไหม้เสียหายเป็นอันมาก จึงถูกทิ้งร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบันเป็นหนึ่งในวัดที่อยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จุดที่น่าสนใจของวัดมหาธาตุอยู่ที่ปรางค์ประธานบนฐานขนาดใหญ่ ประดับด้วยลวดลายปูนปั้น อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ(ปัจจุบันส่วนที่เป็นองค์ปรางค์ได้พังทลายเหลือเพียงฐาน) เศียรพระพุทธรูปหินทรายปกคลุมด้วยรากต้นโพธิ์ และเจดีย์หลากหลายรูปแบบศิลปะ ซึ่งเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึก
09.00 น. รำลึกรอยประวัติศาสตร์แห่งกรุสมบัติล้ำค่าแห่งแผ่นดิน ณ วัดราชบูรณะ ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน ติดกับวัดมหาธาตุทางบริเวณทิศตะวันออก สร้างโดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ในปี พ.ศ. 1967 วัดราชบูรณะมีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นที่รู้จักของประชาชนและนักท่องเที่ยวเล่าขานกันในเรื่องการถูกกลุ่มคนร้ายจำนวนหนึ่ง ลักลอบขุดกรุภายในพระปรางค์ประธาน ในปี พ.ศ. 2499 และโจรกรรมทรัพย์สมบัติจำนวนมากมายมหาศาล ต่อมากรมศิลปากรได้เข้าทำการบูรณะขุดแต่งต่อภายหลัง พบทรัพย์สมบัติที่หลงเหลือและเครื่องทองอีกเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันทรัพย์สมบัติภายในกรุถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ที่นิทรรศการเครื่องทองอยุธยา ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
09.30 น. เยี่ยมชมนิทรรศการเครื่องทองอยุธยา ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
11.30 น. รับประทานอาหารกลางวันหลากรส ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวผักหวาน
12.30 น. ทัศนาวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ภายในกำแพงกรุงศรีอยุธยาทางทิศใต้ ริมป้อมเพชร พระชนกทองดี บิดาของรัชกาลที่ 1 ได้สร้าง “วัดทอง”ขึ้นใกล้กับบริเวณนิวาสถานเดิม ต่อมาเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่ข้าศึกในปีพ.ศ. 2310 วัดนี้ได้รับความเสียหายจากสงครามกลายเป็นวัดร้าง ต่อมาในปี พ.ศ.2328 เมื่อรัชกาลที่ 1 ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีและโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์วัดทองที่ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่กรุงแตกใหม่ทั้งอาราม ร่วมกับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชา เมื่อแล้วเสร็จพระองค์ได้พระราชทานนามอารามนี้ใหม่ตามนามของพระราชบิดา(ทองดี)และพระราชมารดา(ดาวเรือง)ว่า “วัดสุวรรณดาราราม” ชมความความงามสง่าของพระอุโบสถศิลปะแบบไทยประเพณี ฐานแอ่นโค้งสำเภาซึ่งสืบขนบที่นิยมสร้างในศิลปะอยุธยา คันทวยมีเครือเถารายล้อมศิลปะสกุลช่างวังหน้าและที่ไม่น่าพลาดชมคือภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระวิหาร เขียนด้วยสีน้ำมันบนฝาผนังปูนแห่งแรกในประเทศไทยเรื่องพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฝีมือของ มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตร ซึ่งเป็นเทคนิคการเขียนภาพแบบตะวันตกและนำมาประยุกต์ใช้ในจิตรกรรมไทย โดยมีสัดส่วน แสงเงา มุมมองและรายละเอียดของภาพเสมือนจริงน่าชมยิ่งนัก และกล่าวได้ว่าเป็นต้นแบบของการรับรู้เรื่องราวพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพวาด อนุสาวรีย์ แต่งเพลง เขียนนวนิยาย สร้างละครเวที บทละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ในสมัยต่อมา
13.30 น. ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม หรือ วังจันทรเกษม มีฐานะเป็นวังหน้าสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ปรากฎหลักฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ประมาณ พ.ศ.2120 เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเคยใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระยุพราชและพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมพระที่นั่งพิมานรัตยาและพลับพลาจตุรมุข ไว้เป็นที่ประทับเมื่อเสด็จประพาสพระนครศรีอยุธยาและพระราชทานนามว่า “พระราชวังจันทรเกษม”
สมัยรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระที่นั่งพิมานรัตยา ให้เป็นที่ทำการของมณฑลกรุงเก่า จนกระทั่งเมื่อพระยาโบราณราชธานินทร์ เข้ามาดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า จึงได้จัดสร้างอาคารที่ทำการภาค บริเวณกำแพงทางด้านทิศตะวันตกต่อกับทิศใต้ แล้วย้ายที่ว่าการมณฑลจากพระที่นั่งพิมานรัตยา มาตั้งที่อาคารที่ทำการภาคใหม่ กรมศิลปากรจึงได้เข้ามาดูแล และจัดทำเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จวบจนกระปัจจุบัน ทัศนาพลับพลาจตุรมุข เป็น เดิมใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับออกงานว่าราชการและเป็นที่ประทับ ต่อมาใช้เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุ เรียกว่า อยุธยาพิพิธภัณฑสถาน ปัจจุบันจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ที่มีอยู่เดิมภายในพระราชวังนี้
ยลพระที่นั่งพิมานรัตยา จัดแสดงประติมากรรมเทวรูปและพระพุทธรูปนาคปรก ศิลปะสมัยลพบุรี พระพุทธรูปสำริดสมัยอยุธยา พระพิมพ์ และเครื่องไม้แกะสลัก พระที่นั่งพิสัยศัลลักษณ์ หรือหอส่องกล้อง หอสูงสี่ชั้น รัชกาลที่ 4 ใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรดวงดาว และตึกที่ทำการภาค จัดนิทรรศการถาวร 5 เรื่อง คือศิลปะสถาปัตยกรรมอยุธยา สินค้านำเข้าและส่งออกที่สำคัญของอยุธยา อาวุธยุทธภัณฑ์ ศิลปวัตถุพุทธบูชาและวิถีชีวิตริมน้ำชาวกรุงเก่า
16.15 น. ชมวัดขุนแสน ตั้งอยู่ริมถนนอู่ทองทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง วัดขุนแสนนี้ไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับประวัติการสร้าง ปรากฏชื่อวัดในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดเกล้าฯให้ชาวมอญ ซึ่งนำโดยพระยาเกียรติ พระยาราม ที่ตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาจากเมืองแครง มาตั้งถิ่นฐาน ณ บริเวณวัดนี้ ภายในวัดปรากฏเจดีย์ทรงระฆังเป็นประธานของวัด ถัดออกมาทางด้านทิศเหนือเป็นที่ตั้งของวิหารหันหน้าออกสู่แม่น้ำลพบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงสืบค้นพงศาวดารพบว่าพระยาเกียรติและพระยารามนั้น มีความสำคัญในฐานะเป็นพระบุพการีของพระบรมราชจักรีวงศ์ จึงโปรดเกล้าฯให้พระยาราชสงครามเป็นนายงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดขุนแสน เนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับนิวาสถานของพระยาเกียรติ พระยาราม ในสมัยอยุธยา โดยก่อเจดีย์ขนาดใหญ่ครอบเจดีย์ประธาน และสร้างพระวิหารหลวงขึ้น แต่ยังไม่แล้วเสร็จ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน วัดนี้จึงร้างไป ปัจจุบันวัดขุนแสน เป็นวัดร้าง แต่ได้รับการดำเนินงานขุดแต่ง บูรณะเสริมความมั่นคง ปรับสภาพภูมิทัศน์จากกรมศิลปากรและขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติแล้ว
17.00 น. ออกเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ฟังบรรยายจากวิทยากรพร้อมรับอาหารว่างรองท้องและเครื่องดื่มช่วงบ่ายบนรถ
18.30 น. ถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ ส่งทุกท่านที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับด้วยความรู้ ความสนุกสนานและความประทับใจเต็มเปี่ยม
***กำหนดการนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
นำชมโดย
-จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา(นัท) วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรม
วิทยากรรับเชิญ
-ฐิติชัย อัฏฏะวัชระ (ป๊อบ) อาจารย์พิเศษด้านสื่อสารมวลชนและสารคดี ผู้สนใจด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
อัตราค่าร่วมกิจกรรม
ท่านละ 2,350 บาท (สองพันสามร้อยห้าสิบบาทถ้วน)/ท่าน
อัตรานี้รวม
1.ค่าพาหนะไป-กลับ (รถบัสปรับอากาศ)
2.ค่าอาหารกลางวันและน้ำดื่ม
3.ค่าเข้าชมสถานที่(วัดมหาธาตุ,วัดราชบูรณะ,นิทรรศการเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา,พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม)
4.ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม (ยามบ่ายบนรถ)
5.ค่าวิทยากร
6.ค่าประกันอุบัติภัยการเดินทางเป็นหมู่คณะ
---
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
-คุณจุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา(นัท)
โทร.0-81343-4261หรือ Line ID : นัท_nut (แอดไลน์ด้วยหมายเลข 0813434261 ก็ได้)
และคุณสิรินารถ พนมวัน ณ อยุธยา (เอิง)
โทร.0-84071-8482 Line ID : siri_erng
---
การสำรองเข้าร่วมกิจกรรม
1.โอนเงินจำนวน 2,350 บาท/ท่าน เข้าบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงเทพ สาขาสุขุมวิท 71 ในนามนายจุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา เลขที่บัญชี 931-7-02962-8
2.เมื่อโอนเงินแล้วกรุณาแอดไลน์ด้วย0813434261และส่งข้อมูลต่อไปนี้(ทั้งของท่านและเพื่อนในกลุ่มของท่าน)ให้ผู้จัดกิจกรรม
3.หากท่านได้โอนเงินมาแล้ว แต่ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมตามที่แจ้งไว้ได้ อาจมอบให้ผู้อื่นมาแทนได้โดยแจ้งให้ผู้จัดทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วัน ก่อนวันจัดกิจกรรม หากไม่แจ้งตามกำหนดดังกล่าวถือว่าสละสิทธิ์ผู้จัดขอสงวนสิทธิ์การคืนเงิน
4.รับเฉพาะผู้สนใจชาวไทย
ระเบียบในการเข้าชมสถานที่
1.กรุณาแต่งกายสุภาพเพื่อเป็นการเคารพสถานที่ซึ่งไปเข้าเยี่ยมชม(สถานที่ราชการ)
-สุภาพบุรุษ(แต่งกายสุภาพ งดกางเกงขาสั้นและเสื้อไม่มีแขน)
-สุภาพสตรี(กรุณาสวมกางเกงสุภาพ/กระโปรงคลุมเข่า/ผ้าซิ่น งดเสื้อไม่มีแขน กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น)
- รองเท้าหุ้มส้นสวมสบาย
- กรุณาเตรียมหมวก ร่ม แว่นตากันแดด น้ำดื่ม ยาประจำตัวและรองเท้าหุ้มส้นสวมสบายเพื่อความรื่นรมย์ในการเที่ยว
2.กรุณาปฏิบัติตามระเบียบของสถานที่ทุกแห่งที่เข้าไปเยี่ยมชม เช่น ไม่ล่วงล้ำและถ่ายภาพบางพื้นที่ถ้าไม่ได้รับอนุญาต
***โอนเงินแล้วช่วยส่งข้อมูลต่อไปนี้ให้ด้วยครับ
1.หลักฐานการโอนเงิน
2.ชื่อ-นามสกุล ชื่อเล่น
3.หมายเลขโทรศัพท์มือถือ
4.ชื่อในFacebook และไลน์ ไอดี
5.หลักฐานการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น